The Lost City of Z (2016)
ถือเป็นหนังผจญภัยลุ่มแม่น้ำแอมะซอนที่ชวนให้เข้าถึงจิตวิญญาณนักสำรวจได้เป็นอย่างดี จริง ๆ แล้วหนังก็ทำออกมาเป็นแนวชีวประวัติยกย่องผู้พันเพอร์ซี่ ฟอว์เซ็ตต์ ผู้ซึ่งถูกยกย่องให้เป็นนักสำรวจผู้ยิ่งใหญ่คนหนึ่งของอังกฤษและยังเป็นหนึ่งในแรงบันดาลใจของนิยายผจญภัยอย่าง Indiana Jones ด้วย ถึงแม้การสำรวจของเขาจะไม่เชิงถูกเรียกว่าความสำเร็จก็เถอะ ซึ่งจะว่าไปในหนังมีอ้างอิงถึงการค้นพบ Lost City of the Incas เมื่อปี 1911 ซึ่งในปัจจุบันเรารู้จักกันเป็นอย่างดีในชื่อของมาชู ปิกชู อันนี้คือความสำเร็จที่เป็นชิ้นเป็นอันจับต้องได้จริง ๆ ของนักสำรวจชาวอเมริกันที่ทำให้อาณาจักรแห่งนี้เป็นที่รู้จักไปทั่วโลกทั้งที่ความจริงอาจจะมีนักสำรวจชาวสเปนค้นพบไปก่อนแล้วก็ตาม (พลังของสื่อและการส่งต่อข้อมูลยุคสู่ยุค) อย่างไรก็ดี ยังคงมอบพลังอย่างแรงกล้าให้คนธรรมดาอย่างเราอยากเป็นนักสำรวจขึ้นมาเสียอย่างนั้น เพราะยิ่งดูเรายิ่งรู้สึกว่าโลกใบนี้ยังมีอารยธรรมอีกมากมายที่ยังไม่ถูกค้นพบ
.
หนังสร้างจากเรื่องจริงของ ‘เพอร์ซี่ ฟอว์เซ็ตต์’ (Charlie Hunnam) ทหารอังกฤษที่ได้รับมอบหมายให้ลงไปสำรวจทำแผนที่ลุ่มแม่น้ำแอมะซอน โดยมีผู้ติดตามคือ ‘คอสติน’ (Robert Pattinson) ที่อาสาสำรวจร่วมกับเขา ซึ่งในการเดินทางครั้งแรกนั้นพวกเขาค้นพบเครื่องปั้นดินเผาบ่งบอกถึงอารยธรรมที่อาจจะเก่าแก่ยิ่งกว่าคนขาวอย่างพวกเขา นำมาซึ่งการเรียกดินแดนแห่งนี้ว่านครเซ็ดที่สาบสูญ และแน่นอนว่าพวกเขาต้องเดินทางกลับไปสำรวจมันอีกครั้งแต่ก็ต้องพบกับความล้มเหลว
.
ไปอ่านเรื่องย่อคร่าว ๆ ในฉบับงานเขียนมาเลยรู้สึกว่าหนังค่อนข้างซื่อตรงมาก ๆ อย่างหนึ่งคือเจมส์ เกรย์ไม่ได้พยายามจะบิดเรื่องราวของนักสำรวจคนนี้ให้ดูยิ่งใหญ่เกรียงไกรกว่าเดิม มันมีความเป็นเส้นตรงที่ราบเรียบแต่ในแง่อารมณ์ร่วมของเรากับหนังนั้นจะสัมผัสได้ชัดเลยว่าเมื่ออยู่ในป่าแอมะซอนนั้นจะมีพลังดึงดูดยิ่งกว่าส่วนอื่น ๆ ของหนังทั้งกับครอบครัวที่อังกฤษและช่วงงานเลี้ยงพบปะทหารต่าง ๆ เราอินกับสิ่งเล็ก ๆ ที่หนังมอบให้ไม่ว่าจะเป็นความรู้สึกทึ่งกับภูมิปัญญาชนเผ่าอินเดียนแดง สายตาของทหารอังกฤษที่เคยคิดว่าชนเผ่าตัวเองสูงส่งกว่าคนป่าแต่ต้องเปลี่ยนความคิดนั้นเมื่อได้มาสัมผัสด้วยตัวเอง หนังสามารถมอบแรงบันดาลใจกระตุ้นความเป็นนักสำรวจในตัวเราออกมาได้ทั้ง ๆ ที่ตัวหนังเองก็ไม่ได้มุ่งเน้นด้านนั้นเป็นพิเศษด้วยซ้ำ อันที่จริงออกจะมี jump cut กระโดดข้ามช็อตทีละไกลมาก ๆ ด้วย
.
อีกอย่างที่ชอบคือบรรยากาศของหนังเสมือนหลุดไปในป่ายุค 10s-20s ได้จริง เห็นว่ายกกองไปถ่ายที่โคลอมเบียกันเลยทีเดียว งานภาพของ ‘ดาริอุส คอนจิ’ งดงามมาก จะว่าไปชื่อเสียงของเขาก็ดูจะได้รับการยกย่องน้อยกว่าความเป็นจริงเหมือนกันเมื่อย้อนดูเครดิตงานของเขากับรางวัลที่ได้รับ เขามีงานเด่น ๆ อย่าง Midnight in Paris และ The Immigrant ซึ่งล้วนได้รับคำชมเรื่องการดึงบรรยากาศยุค 20’s ผ่านงานภาพได้อย่างยอดเยี่ยม กระทั่งเว็บ indiewire ยังจัดอันดับงานของเขาให้เป็นหนึ่งในการกำกับภาพยอดเยี่ยมของยุคด้วย ซึ่งการบันทึกภาพการเดินทางในป่าใหญ่อย่างที่ปรากฏใน นั้นก็คู่ควรจะได้รับการยกย่องเช่นเดียวกัน (ที่ตลกคือตอนดูเรานึกถึง Apocalypse Now มาก ๆ แล้วพอดูจบไปอ่านเบื้องหลังเลยเพิ่งรู้ว่าเจมส์ เกรย์ไปขอคำปรึกษาเรื่องการถ่ายหนังในป่ามาเหมือนกัน)
.
โดยรวมแล้ว The Lost City of Z ยังคงเป็นงานที่เจมส์ เกรย์ไม่ทำให้เราผิดหวัง (Two Lovers, We Own the Night และ The Immigrant คืองานที่เราชอบในระดับหนึ่งเลย) เขายังคงทำหนังผลักดันแรงจูงใจตัวละครในการขับเคลื่อนเรื่องราวทั้งหมด ยังคงถ่ายทอดผ่านงานกำกับภาพสวย ๆ มีเสน่ห์ชวนให้ติดตามและจดจำ ซึ่ง The Lost City of Z อาจจะมีจุดตำหนินิดหน่อยในสายตาเราที่เจมส์ เกรย์มุ่งเน้นชีวประวัติมากกว่าจะไปนำเสนอการผจญภัย แต่ทั้งนี้พอมองภาพทั้งหมดของหนังเป็นเนื้อเดียวกันแล้วเราก็คงจะมองแง่ดีว่าหนังได้มอบเหตุผลว่าทำไมเพอร์ซี่ ฟอว์เซ็ตต์ถึงได้ตัดสินใจเลือกเส้นทางสุดท้ายของชีวิตเช่นนั้น และมันก็ทำให้งานชิ้นนี้มีคุณค่าในแบบของมันเองทันที