ดูหนัง Morbius (2022) มอร์เบียส ฮีโร่พันธุ์อสูร
ที่โรงพยาบาลแห่งหนึ่งในประเทศกรีซ ไมเคิล มอร์เบียสวัย 10 ขวบต้อนรับลูเซียน น้องชายบุญธรรมของเขา ซึ่งเขาเปลี่ยนชื่อใหม่เป็นไมโล ทั้งสองผูกพันกันด้วยโรคทางเลือดที่เหมือนกันและปรารถนาที่จะเป็น “คนปกติ” เมื่อเห็นศักยภาพของไมเคิล พ่อบุญธรรมและผู้อำนวยการโรงพยาบาลนิโคลัสจึงจัดการให้ไมเคิลเข้าเรียนแพทย์ในนิวยอร์ก ขณะที่เขาทุ่มเทให้กับการดูแลไมโล 25 ปีต่อมา ไมเคิลปฏิเสธรางวัลโนเบล ต่อหน้าสาธารณชน สำหรับผลงานของเขาเกี่ยวกับเลือดเทียมเพื่อนร่วมงานของเขามาร์ติน แบนครอฟต์ค้นพบว่าเขาแอบจับค้างคาวแวมไพร์ หลายสิบตัว จากคอสตาริกาโดยหวังว่าจะผสมยีนของค้างคาวกับยีนของตัวเองเพื่อรักษาอาการป่วยของเขา ไมเคิลได้รับเงินทุนจากไมโลเพื่อจัดหาอุปกรณ์ให้กับเรือรับจ้างส่วนตัวในน่านน้ำสากลในขณะที่การรักษาได้ผล ไมเคิลก็เปลี่ยนให้กลายเป็นแวมไพร์ที่ฆ่าและดูดเลือดลูกเรือหลังจากที่ลูกเรือโจมตีเขาด้วยความกลัว เมื่อความกระหายเลือดของเขาลดลงและเขากลับมามีสติอีกครั้ง ไมเคิลซึ่งตกใจกลัวจึงลบ ภาพ กล้องวงจรปิด ทั้งหมด ของการทดลองของเขาออกก่อนที่จะติดต่อเจ้าหน้าที่และกระโดดลงน้ำ
ไมเคิลกลับมายังนิวยอร์กและพบว่าตอนนี้เขามีพละกำลัง ความเร็ว และเสียงสะท้อนที่เหนือมนุษย์โดยที่ค้างคาวแวมไพร์ของเขาปฏิบัติต่อเขาเหมือนเป็นพวกเดียวกัน เพื่อควบคุมความกระหายเลือดของเขา เขาจึงดำรงชีวิตอยู่ด้วยเลือดเทียมในขณะที่มันค่อยๆ ไม่สามารถตอบสนองความต้องการของเขาได้อีกต่อไป เจ้าหน้าที่เอฟบีไอ ไซมอน สตรูดและอัล โรดริเกซ สืบสวนเหยื่อของไมเคิลและสรุปความเกี่ยวข้องของเขา ไมโลได้รู้ว่าไมเคิลหายจากอาการป่วยแล้ว แต่กลับโกรธมากเมื่อไมเคิลปฏิเสธที่จะรักษาเขาเช่นกัน ในขณะที่กำลังตรวจสอบมาร์ตินที่เข้ารักษาตัวในโรงพยาบาล ไมเคิลพบพยาบาลที่เสียชีวิตซึ่งถูกดูดเลือดไปแล้ว เนื่องจากเชื่อว่าเขาเป็นผู้รับผิดชอบ เขาจึงพยายามหลบหนีก่อนที่จะถูกสตรูดจับกุม ในคุก ไมโลมาเยี่ยมเขาและตระหนักว่าไมโลรับการรักษาของเขาและฆ่าพยาบาลคนนั้น ไมเคิลจึงหลบหนีไปเผชิญหน้ากับเขา ไมโลที่ไม่สำนึกผิดเร่งเร้าให้ไมเคิลยอมรับพลังของเขาเช่นเดียวกับที่เขาทำ ไมเคิลไม่ต้องการทำร้ายพี่ชาย จึงหนีไป
อ่านรีวิวก่อน ดูหนัง
นักแสดง
Adria Arjona / เอเดรีย อาโจน่า

Al Madrigal / อัล มาดริกัล

ผู้กำกับ ดาเนียล เอสปิโนซ่า
รีวิวหนัง Morbius (2022) มอร์เบียส ฮีโร่พันธุ์อสูร
Filmment
เรื่องราวของ ดร.ไมเคิล มอร์เบียส นักวิทยาศาสตร์ผู้ทนทุกข์กับอาการป่วยที่ไม่มีทางรักษา มอร์เบียสตัดสินใจใช้ค้างคาวเป็นตัวช่วยในการเยียวยาอาการป่วย แต่มันกลับเปลี่ยนให้เขากลายเป็นแวมไพร์กระหายเลือดแทน #ความเห็น ผมตีตั๋วเข้ารับชมภาพยนตร์เรื่องล่าสุดจากจักรวาล Sony’s Spider-Man Universe อย่าง Morbius โดยที่ไม่เคยรู้จักตัวละครนี้มาก่อนแต่อย่างใดครับ ซึ่งข้อดีก็คือผมไม่มีภาพจำของตัวละคร และสามารถเข้าไปรับชมภาพยนตร์ได้โดยไม่มีการเปรียบเทียบกับเวอร์ชั่นอื่นอีกด้วย สิ่งเดียวที่ผมรับรู้ก่อนตีตั๋วเข้ารับชมภาพยนตร์ก็คือ Morbius ได้รับคำวิจารณ์ที่ย่ำแย่จากนักวิจารณ์ต่างประเทศ ซึ่งหลังจากรับชมจบแล้วผมก็เข้าใจเหตุผลได้ในทันทีครับ
ปัญหาใหญ่ของ Morbius ก็คือบทภาพยนตร์ครับ ด้วยความเป็นภาพยนตร์เรื่องแรกของตัวละคร ปัจจัยที่สำคัญที่สุดจึงหนีไม่พ้นการวางรากฐานและทำให้ผู้ชมหลงรักหรือเอาใจช่วยตัวละครนั้นๆ แต่ภาพยนตร์เรื่อง Morbius กลับล้มเหลวในจุดนี้อย่างสิ้นเชิงครับ โดยเรื่องราวส่วนใหญ่ของภาพยนตร์มุ่งเน้นไปที่การสำรวจพลังและความสามารถของดร.ไมเคิล มอร์เบียส ที่ได้มาจากการผสม DNA ของตัวเองเข้ากับค้างคาว ไม่ว่าจะเป็น ประสาทสัมผัสที่ไวขึ้น , ร่างกายที่แข็งแกร่งขึ้น หรือการใช้คลื่นโซนาร์ในการบินเหมือนกับค้างคาว แต่ภาพยนตร์กลับมองข้ามสิ่งที่สำคัญที่สุดอย่างการมอบหัวจิตหัวใจให้กับตัวละครไปอย่างไม่น่าให้อภัยครับ และแม้ว่าพลังความสามารถของตัวละครจะสำคัญต่อฉากแอ็คชั่นขนาดไหน แต่เมื่อผู้ชมไม่รู้สึกผูกพันธ์กับตัวละคร ทุกสถานการณ์คับขันในเรื่องก็ดูไม่น่าตื่นเต้นแต่อย่างใดครับ
ภาพรวมของ Morbius ก็มาในโครงเรื่องแบบสูตรสำเร็จของภาพยนตร์ซูเปอร์ฮีโร่ เริ่มตั้งแต่ ตัวละครหลักของเรื่องได้รับพลังพิเศษบางอย่าง เรียนรู้ขีดจำกัดของความสามารถตัวเอง ในขณะเดียวกันตัวร้ายในเรื่องก็ถือกำเนิดขึ้น พร้อมกับตัวละครหลักต้องเรียนรู้และตามหาคุณค่าที่แท้จริงของตัวเอง ก่อนที่จะมาจบลงด้วยการต่อสู้ครั้งสุดท้ายในฉากไคลแม็กซ์ของภาพยนตร์ แม้จะเดินตามสูตรสำเร็จแบบเป๊ะๆ แต่ภาพยนตร์ก็ยังคงเต็มไปด้วยบาดแผลและเรื่องราวที่ไม่สมเหตุสมผล ทุกตัวละครมีการพัฒนาที่ย่ำแย่และไม่ได้รับการใส่ใจเท่าที่ควร ในขณะที่บางตัวละครก็ไร้บทบาทและความจำเป็นต่อเรื่องราว นอกจากนี้ทุกอย่างยังคาดเดาได้ง่าย ไม่มีจุดพลิกผันที่น่าสนใจเลยครับ
ความสัมพันธ์ระหว่างตัวละครถูกวางเอาไว้เป็นไม้เด็ดในการสร้างอารมณ์ร่วมให้กับผู้ชมครับ โดยเรื่องราวทั้งหมดโคจรอยู่รอบ 3 ตัวละครหลักอย่างดร.ไมเคิล มอร์เบียส เพื่อนสนิทอย่างไมโล และหญิงสาวที่ทั้งคู่หลงรักอย่างดร.มาร์ทีน แต่ไม่ว่าจะในแง่ของมิตรภาพที่ขาดสะบั้นระหว่างมอร์เบียสและไมโล หรือปมรัก 3 เศร้าที่ภาพยนตร์สร้างขึ้น ก็ล้วนแล้วแต่เบาจนจับต้องไม่ได้ ทุกตัวละครเต็มไปด้วยการตัดสินใจที่ไร้เป้าหมาย และพร้อมจะเปลี่ยนเป็นอีกคนหนึ่งในทันทีที่ภาพยนตร์เปลี่ยนฉาก นำมาซึ่งองค์สามอันแสนมืดบอดและเต็มไปด้วยความโกลาหลจนควบคุมไม่ได้
ในมุมหนึ่งก็นับว่าน่าเห็นใจครับ เมื่อกรอบของภาพยนตร์แนว Anti-Hero นั้นส่งผลเสียต่อภาพยนตร์อยู่พอสมควร เนื่องจากตัวละครอย่างมอร์เบียสนั้นดูมีองค์ประกอบที่จะเป็นวายร้ายมากกว่าคนดีครับ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อในปลายทางของ Sony’s Spider-Man Universe นั้น มอร์เบียสก็เตรียมจะต้องเผชิญหน้ากับสไปเดอร์-แมนอยู่แล้ว ดังนั้นการที่ภาพยนตร์เลือกบอกเล่าตัวละครนี้ในฐานะ ‘พระเอก’ ทำให้ภาพยนตร์เต็มไปด้วยความครึ่งๆ กลางๆ ครับ จะให้มอร์เบียสฆ่าคนอย่างโหดเหี้ยมก็ไม่ได้ จะให้มอร์เบียสไม่กินเลือดคนก็ดูจะผิดแปลกจากต้นฉบับมากเกินไป ถึงขนาดที่ภาพยนตร์ต้องสร้างตรรกะอันแสนประหลาดขึ้นในเรื่องว่า หากมอร์เบียสฆ่ามือปืนรับจ้างซึ่งเป็นคนเลว ก็ดูจะไม่ใช่เรื่องที่ผิดมากนัก
ครั้นจะหวังที่ฉากแอ็คชั่นปนสยองขวัญในเรื่องก็ต้องผิดหวัง เมื่อ Morbius ถ่ายทอดฉากแอ็คชั่นออกมาได้ย่ำแย่ และสนุกมือกับการใช้คอมพิวเตอร์กราฟฟิกรวมถึงภาพสโลว์โมชั่นมากจนเกินจำเป็น นอกจากนี้ภาพยนตร์ยังมีชะงักติดหลังด้วยเรต PG-13 ทำให้ไม่สามารถใช้ความโหดเหี้ยมของแวมไพร์กระหายเลือดได้อย่างเต็มที่ สิ่งที่พยุงภาพยนตร์ไปได้จนจบเรื่องก็คือการแสดงและเสน่ห์เฉพาะตัวของ Jared Leto รวมถึงจังหวะเล่าเรื่องที่รวดเร็วของภาพยนตร์ ที่พยายามดึงทุกอย่างให้ไปถึงฉากเอนเครดิตโดยเร็วที่สุด คงจะไม่ผิดนักหากจะบอกว่า Jared Leto นั้นโชคร้ายกับการแสดงภาพยนตร์ซูเปอร์ฮีโร่จริงๆ ครับ เพราะแม้เขาจะมอบการแสดงที่ดีที่สุดตามที่บทภาพยนตร์จะส่งได้ แต่เรื่องราวของ Morbius กลับถูกเล่าอย่างตื้นเขินและไร้ชั้นเชิง เป็นเพียงภาพยนตร์ที่รับชมได้เพลินๆ พร้อมกับเป็นสะพานเชื่อมเรื่องราวภายในจักรวาล Sony’s Spider-Man Universe เท่านั้นครับ
#ประเด็นตกผลึก ประเด็นตกผลึกจากภาพยนตร์เรื่อง Morbius ที่ผมจะชวนผู้อ่านทุกท่านมาคุยกันในวันนี้ก็คือ มนุษย์ทุกคนตอบสนองต่ออำนาจได้แตกต่างกัน ประเด็นดังกล่าวถูกถ่ายทอดผ่าน 2 ตัวละครอย่างดร.ไมเคิล มอร์เบียสและไมโล ซึ่งทั้งคู่มีเงื่อนไขชีวิตคล้ายกันครับ โดยทั้งมอร์เบียสและไมโลรู้จักและสนิทกันมาตั้งแต่ยังเด็ก จากการเข้ารักษาตัวในสถานบำบัดของดร.นิโคลัสเนื่องจากอาการป่วยโรคเลือดของพวกเขา ด้วยภาวะจากการป่วยทำให้พวกเขาทั้งคู่เป็นเด็กอ่อนแอและมักจะถูกรังแกอยู่เสมอ ซึ่งพวกเขาทั้งคู่ก็มีวิธีเอาตัวรอดจากสถานการณ์ดังกล่าวได้แตกต่างกันครับ ดร.ไมเคิล มอร์เบียสเลือกใช้อาการป่วยของตัวเองเป็นเป้าหมายสูงสุดที่ต้องพิชิตให้ได้ โดยเขาเลือกทุ่มเททั้งความรู้และความสามารถทั้งหมดที่มีไปกับการศึกษาเพื่อหาวิธีรักษาโรคร้าย ซึ่งหากเขาทำได้สำเร็จก็จะสามารถช่วยเพื่อนรักอย่างไมโล รวมถึงผู้ป่วยทั่วโลกได้เช่นกันครับ ขณะที่ไมโลเองเลือกเก็บความเจ็บปวดในวัยเด็กมาเปลี่ยนเป็นความแค้น เขาย่างกรายเข้าสู่โลกใต้ดินเพื่อแก้เผ็ดเหล่าอันธพาลที่เคยรังแกเขาในวัยเด็ก โดยภาพยนตร์เล่าประเด็นนี้ผ่านฉากสั้นๆ ฉากหนึ่ง ซึ่งไมโลเล่นไพ่ชนะมาเฟียผู้ทรงอิทธิพล ทำให้เขาต้องจ้างหน่วยรักษาความปลอดภัยมาดูแลถึงบ้านครับ
จุดเปลี่ยนสำคัญเกิดขึ้นเมื่อดร.ไมเคิล มอร์เบียสได้ค้นพบวิธีการรักษาโรคร้าย ด้วยผสม DNA ของค้างคาวเข้ากับ DNA ของตนเอง แม้ว่ามันจะทำให้อาการป่วยของเขาหายเป็นปลิดทิ้ง และทำให้เขามีพลังพิเศษเหนือมนุษย์ขึ้นมาในชั่วข้ามคืน แต่มันก็แลกมากับการที่เขาต้องกลายเป็นแวมไพร์และต้องดื่มเลือดของมนุษย์เพื่อดำรงชีวิตรอด มอร์เบียสจึงคิดว่านี่ไม่ใช่ทางรักษาที่ถูกต้อง แต่เป็นคำสาปที่ไม่ควรมีผู้ใดย่างกรายมาเกี่ยวข้อง เนื่องจากจะต้องมีผู้บริสุทธิ์ต้องเสียชีวิตอีกเป็นจำนวนมากจากความเป็นแวมไพร์ของเขา แต่ความยุ่งยากก็มาถึงเมื่อไมโลเห็นมอร์เบียสมีร่างกายที่แข็งแรงขึ้นจากการรักษา ด้วยความที่ถูกกดขี่มาตลอดชีวิตทำให้ไมโลมองข้ามคำสาปที่มอร์เบียสหวาดกลัว แล้วขโมยเซรุ่มแวมไพร์มาฉีดให้กับตัวเองในทันทีที่มีโอกาสครับ หลังจากที่ไมโลได้รับพลังอำนาจจากเซรุ่ม เขากลายเป็นขั้วตรงข้ามกับมอร์เบียสในทันที
ไมโลไม่สนใจเลยครับว่าเขาจะต้องดื่มเลือดของมนุษย์สักกี่คน เนื่องจากชีวิตในวัยเด็กที่ยากลำบากของเขาทำให้ไมโลคิดว่า การได้พลังพิเศษนี้มาเป็นดั่งการเอาคืนรอยแผลในอดีต และเขาก็เลือกที่จะตอบโต้มันด้วยวิธีที่รุนแรงกว่าหลายเท่าตัวครับ สังเกตุได้เลยครับว่ามนุษย์แต่ละคนนั้นมีวิธีการรับมือกับอำนาจได้แตกต่างกัน โดยเฉพาะอำนาจที่ไม่ได้มาจากน้ำพักน้ำแรงหรือความพยายามอดทน แต่เป็นอำนาจที่ได้มาอย่างเฉียบพลันทันทีและไม่มีเวลาให้กับคนเหล่านั้นได้ตั้งตัวครับ ดังนั้นสิ่งที่ควรจะเป็นก็คือ การทบทวนบทบาทหน้าที่ และตัวตนที่แท้จริงของตัวเราเอง ในช่วงเวลาก่อนที่เราจะมีอำนาจครับ คล้ายกันกับดร.ไมเคิล มอร์เบียสที่ตระหนักได้ครับว่า หน้าที่ของเขาคือการช่วยเหลือชีวิตมนุษย์ ไม่ใช่การคร่าชีวิตผู้อื่นเพื่อความอยู่รอดของตัวเอง ฝากไว้ให้คิดกันนะครับ