ดูหนัง Dinner For Schmucks (2010) ปาร์ตี้นี้มีแต่เพี้ยน
ทิม คอนราดพบวิธีที่จะดึงมาร์ติน มูลเลอร์ นักธุรกิจผู้มั่งคั่งมาเป็นลูกค้า แลนซ์ เฟนเดอร์ เจ้านายของเขาประทับใจในความเฉลียวฉลาดของทิม จึงบอกว่าเขาเป็นผู้มีสิทธิ์เลื่อนตำแหน่ง แต่ต้องการรู้จักเขาให้มากขึ้น เขาจึงเชิญคอนราดไปร่วมงานเลี้ยงอาหารค่ำ โดยเขาต้องหาคนพิเศษที่มีความสามารถพิเศษมาร่วมงานเพื่อให้ผู้บริหารล้อเลียน ผู้ชนะจะได้รับถ้วยรางวัล และผู้บริหารที่นำคนๆ นี้มาจะได้รับเกียรติ ทิมเล่าให้จูลี่ แฟนสาวที่คบกันมายาวนานฟังอย่างตื่นเต้น เกี่ยวกับการเลื่อนตำแหน่งและงานเลี้ยงอาหารค่ำที่เป็นไปได้ แต่เธอกลับไม่พอใจกับแนวคิดการเชิญคนแปลกหน้ามาทานอาหารเย็นเพียงเพื่อล้อเลียนพวกเขา โดยบอกให้เขาปฏิเสธคำเชิญ วันรุ่งขึ้น ทิมขับรถไปชนแบร์รี สเป็คโดยไม่ได้ตั้งใจ ขณะที่เขากำลังพยายามเก็บหนูตายข้างถนน เมื่อเห็นพฤติกรรมประหลาดของแบร์รี รวมถึงการยัดสัตว์และจัดหนูเป็นภาพจำลองตามงานศิลปะชื่อดัง “Mousterpieces” ทิมก็รู้ว่าแบร์รีคือคนโง่ที่สมบูรณ์แบบสำหรับมื้อค่ำนี้ จูลีพบว่าทิมกำลังเชิญแบร์รีไปทานอาหารค่ำ และออกจากอพาร์ตเมนต์ของพวกเขาหลังจากที่ทิมยืนกรานว่าเขาต้องไป เพราะเขาต้องไปเพื่อจะได้ดูแลพวกเขาต่อไป แบร์รี่โผล่มาที่อพาร์ตเมนต์ของทิมโดยคิดว่างานเลี้ยงอาหารค่ำเป็นคืนนั้นพอดี และบังเอิญเชิญดาร์ลานักมวยปล้ำ หญิง ที่ทิมเคยนอนด้วยมาครั้งหนึ่ง ซึ่งดาร์ลาหลงใหลในตัวเขามาก หลังจากดุแบร์รี่ที่เชิญดาร์ลามาที่บ้าน และอธิบายว่าเธอเป็นใคร แบร์รี่ก็รับหน้าที่กันไม่ให้ดาร์ลามาหาทิม ทำให้จูลี่เข้าใจผิด การสนทนาของพวกเขาทำให้เธอเชื่อว่าทิมนอกใจเธอ และเธอก็จากไปอีกครั้ง เมื่อทิมรู้ว่าแบร์รี่ทำอะไรลงไป เขาก็เชื่อว่าจูลี่อาจจะอยู่ที่ Kieran Vollard ซึ่งเป็นศิลปินที่เธอขายผลงานในแกลเลอรีและแสดงความสนใจในตัวเธอ
อ่านรีวิวก่อน ดูหนัง
นักแสดง
Steve Carell / สตีฟ แคร์เรล

Paul Rudd / พอล รัดด์

Zach Galifianakis / แซ็ค กาลิฟานาคิส

ผู้กำกับ เจย์ โรช
รีวิวหนัง
หมื่นทิพ
งานรีเมค Dinner For Schmuck หนังตลกฝรั่งเศสที่ผมชอบ พอมาเป็นฮอลลีวู้ดก็มีการปรับเรื่องนิดๆ โดยคงเค้าเดิมเอาไว้บ้าง แล้วก็ขยายอะไรต่อมิอะไรอีกพอตัว เพราะต้นฉบับนั้นเรื่องราวจะดำเนินไปในฉากเพียงฉากเดียวครับ เนื่องจากมันทำมาจากละครเวทีแล้วก็คงสไตล์หนังไว้ที่ละครเวทีเช่นกัน เรื่องราวก็ว่าด้วยตัวเอกที่โดนป่วนชีวิตโดยตัวก๊องที่เขาตั้งใจจะเอาไปฉีกหน้าในงานดินเนอร์ แต่แล้วเขาก็ได้เรียนรู้อะไรหลายอย่างจากคนที่เขาคิดว่าติงต๊องนี่แหละ (คลิ้กไปอ่านรีวิวของต้นฉบับได้ที่นี่ครับ)
สำหรับฉบับใหม่ก็ขยายความให้ทิมโมธี คอนราจ ตัวเอกของเรา (Paul Rudd) เป็นพนักงานบริษัทที่กำลังไต่เต้าไปสู่ตำแหน่งในฝัน และเขาก็รู้มาว่าหนทางหนึ่งที่จะทำให้เขาได้ตำแหน่งที่ต้องการ คือการพาคนติงต๊องไปร่วมงานเลี้ยงประจำสัปดาห์ที่เจ้านายของเขา (Bruce Greenwood) จัดขึ้น และโชคชะตาก็พาเขาไปเจอกับ แบร์รี่ (Steve Carrell) หนุ่มแว่นหนาที่รักการเอาหนูสต๊าฟฟ์มาสร้างโมเดลเล่น พอทิมเจอแบร์รี่ก็แน่ใจล่ะว่านายคนนี้เหมาะจะพาไปในงานเลี้ยงอย่างมาก แต่หารู้ไม่ครับว่าการนำพานายแบร์รี่เข้ามาในชีวิตจะทำให้เขาได้เจอกับเรื่องวุ่นสุดพิกัดขนาดไหน ตั้งแต่หลังเดาะ, แฟนทิ้ง, กิ๊กเก่าโผล่, งานที่น่าจะมีอนาคตแขวนอยู่บนเส้นด้าย… จะมีอะไรหนักหนากว่านี้ไหมเนี่ย ถือเป็นงานรีเมคที่ไม่เลวครับ ถ้าให้เทียบในเรื่องความลงตัวดีเด็ดนั้น คงต้องยกให้ต้นฉบับ แต่กับฉบับนี้ผมว่ามันกลมกล่อมพอประมาณ มีมุขฮา มีตัวละครที่เจอไม่กี่นาทีก็จำคาแรคเตอร์ได้ สถานการณ์ชวนหัว และการขมวดปมวุ่นๆ สไตล์หนังตลกมะกัน แม้จะไม่สุดยอดแต่ก็พอเพลิน
สิ่งที่ผมรู้สึกดีกับฉบับนี้คือ ดาราส่วนมากสวมบทตัวละครได้น่ารัก อย่าง แบร์รี่ ก็ไม่ได้เป็นตัวติงต๊องที่สร้างหายนะอย่างเดียว หนังยังสอดแทรกมุมดราม่าและความน่ารักลงไปด้วย จนระหว่างดูๆ ไปนี่ผมก็อดที่จะชอบและเห็นใจนายแบร์รี่คนนี้ไม่ได้ ยิ่งฉากที่ทิมเอาภาพโมเดลของแบร์มาดูตอนกลางดึกนั่น มันบอกอะไรได้หลายอย่างครับ ว่าที่แบร์รี่เอาแต่นั่งทำโมเดลหนูเหมือนคนต๊องนั่น ก็เพราะเจอมรสุมชีวิตแบบไหนเข้าไป อันนี้ต้องยกนิ้วให้ Carrell จริงๆ ขานี้ผมว่าเป็นดาราตลกที่เจ๋งมากนะครับ เล่นฮาได้แบบน่ารักๆ และตอนถึงคราวดราม่าก็ยอดเยี่ยมเสมอ หรือบททิมของ Rudd ก็ดูมีมิติมากกว่าที่คิด เพราะเขาไม่ใช่คนเห็นแก่ตัว เพียงแต่ต้องหาทางสร้างความมั่นคงในการทำงานเพื่อชีวิตของเขาเอง จนพอดูๆ ไปก็พลอยเอาใจช่วยทั้งสองคนไปเลย หนังมีมุมดราม่าที่ไม่เลว และมุขตลกก็ไม่น้อย โดยเฉพาะฉากดินเนอร์ที่รวมคนเพี้ยนได้ฮาพอตัว (และมีดาราจากต้นฉบับมาร่วมเล่นด้วย) และยังมีอะไรให้ลุ้นอีกต่างหาก
อีกจุดหนึ่งที่ผมว่าเข้าท่าคือ การแสดงของแบร์รี่ในงานดินเนอร์ช่วงท้ายเรื่องน่ะครับ ผมว่ายอดนะ แน่นอนว่าหลายคนอาจมองว่ามันต๊อง แต่ผมเชื่อว่าคนที่เรามองว่าต๊องมากมายนั้น เขาแค่เป็นคนที่มองในสิ่งที่เรามองไม่เห็น คิดในมุมที่เราไม่เคยลอง ชอบในสิ่งที่อยู่นอกกระแสหลัก… ผมว่ามันไม่ได้ทำให้เขาต๊อง แต่มันทำให้เขาโดดเด่น สะดุดตาจนเราต้องเหลือบมอง และบางครั้งเมื่อเราเหลือบมองสิ่งที่แปลกจากเรา เราก็สรุปในแง่ลบว่า “แปลก” ทั้งที่จริงๆ แล้ว เราจะมองว่า “แปลก เพี้ยน” ก็ได้ หรือมองว่า “โอ้ว ว้าว ไม่เหมือนใครดี” ก็ได้เหมือนกัน คนเพี้ยน คนแปลก คนต๊องอาจเป็นคำจำกัดความประเภทของคนที่คับแคบเกินไปครับ แล้วก็ฟังดูเป็นแง่ลบเกินไปด้วย เพราะจริงๆ แล้วเขาไม่ได้ต๊องอะไรหรอก แค่เขาทำในสิ่งที่คนอื่นไม่ได้ทำเท่านั้นเอง
จะว่าไปแล้ว โทมัส อัลวา เอดิสัน, อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ หรือ นิโคไล เทสล่า ก็ได้รับการขนานนามว่าแปลกเหมือนกันครับ แต่พวกเขาก็สร้างสิ่งยิ่งใหญ่มากมาย… คนมากมายอาจยิ่งใหญ่ได้ แต่เพียงเพราะเขาเจอมุมมองแคบๆ เจอการแยกประเภทตันๆ เข้าเลยทำให้เขาหมดความหมดใจ พยายามกำจัดความไม่เหมือนใครออกไป เพื่อจะได้เหมือนกับคนทั่วไปในสังคม… คนที่ทำอะไรเหมือนๆ กันราวกับก็อปปี้กันมา… ทำลายโอกาสแห่งความเด่นของตัวเองไปอย่างน่าเสียดาย ผมอยากให้คนที่มองอะไรไม่เหมือนใครอย่าเพิ่งรีบ “คร่า” วิธีคิดหรือมุมมองแปลกๆ ของตนเองลงเพียงเพราะคนอื่นมองว่าแปลกเลยครับ ขอเพียงสิ่งไม่เหมือนใครที่เรามีนั้นมันไม่ได้ทำร้ายใครเราก็สามารถคงตัวตนนั้นต่อไป หรือต่อยอดทำอะไรที่มันสร้างสรรค์ต่อไปได้ จริงๆ แล้วคนที่ไม่เหมือนใครนั้นทำให้เราเห็นถึงความหลากหลายของชีวิต และความหลากหลายของมนุษย์ เพราะมนุษย์มีหลายเฉดสี มีหลายลีลา โลกนี้ถึงน่าค้นหาและเกิดภาพงดงามขึ้นอยู่เนืองๆ
คิดว่าโลกมาถึงทุกวันนี้ได้เพราะคนเราทำอะไรแบบเดิมๆ เพราะคนเราไม่ทำอะไรที่แปลกจากคนอื่นงั้นเหรอครับ… เปล่าเลยครับ โลกหมุนมาถึงตอนนี้ได้ ส่วนหนึ่งก็เพราะคนที่คิดอะไรต่างนั่นแหละ ดาราในเรื่องถือว่าเล่นกันได้ไม่เลวครับ แม้จะไม่ถึงกับยอดเยี่ยมหรืออาจมีอะไรแปร่งๆ บ้างอย่างความแปลกของ แบร์รี่ที่บางทีก็ “เยอะ” ไปหน่อย แต่ก็ยังดีที่ดารายังพยายามดึงตัวละครนั้นกลับมาสู่ความจริง ไม่ได้ดูเป็นการ์ตูนเกินเหตุ หรืออย่างบทบ้าๆ ของพี่ Zach Galifianakis ที่มาเป็นเทอร์แมน ก็ไว้ใจได้ครับ บททำนองนี้พี่แกต๊องได้โล่ห์อยู่แล้ว แต่บทที่ออกจะเกินไปหน่อยก็คือดาร์ล่า (Lucy Punch) ที่ออกแนวบ้าเพี้ยนมากกว่าจะแปลก แอบเสียดายเหมือนกันครับเพราะถ้าตัวละครนี้แสดงออกอย่างพอดี หรือเพิ่มภูมิหลังไปว่าเพราะเธอเหงา เธอไม่มีคนสนใจเลยต้องทำตัวล้นๆ แบบนี้ เราคงจะได้ตัวละครดีๆ เอามาคิดต่อยอดอีกบทหนึ่งแล้วล่ะ
เป็นหนังตลกที่โอเคพอตัวครับ ดนตรีก็ไพเราะเอาเรื่องด้วย โดยเฉพาะฉากทิมนั่งดูรูปโมเดลและฉากที่ทิมพูดความในใจตอนท้ายและ ผมก็ชอบมุกมอร์แกน ฟรีแมนมากๆ ด้วย กระนั้นนะครับ แม้ผมจะโอเคกับหลายๆ ส่วนแต่ก็ต้องยอมรับล่ะครับว่าหลายส่วนยังไม่ดีถึงที่สุด หลายอย่างยังไม่กลมกล่อม อย่างเรื่องความเกินล้นของตัวละครที่บางฉากก็มากไปจนถึงขั้นทำให้หนังเสียกระบวนไปนิดๆ บางช่วงดูดี แต่บางช่วงก็ดึงระดับหนังลงมา อันนี้ก็ยกหน้าที่รับผิดชอบให้ Jay Roach ผู้กำกับที่เคยทำหนังฮาแบบพอเหมาะอย่างไตรภาค Austin Powers และ Meet The Parents 2 ภาคแรกมาก่อน มาเรื่องนี้ก็ต้องบอกว่าความดียังเทียบหนังเรื่องก่อนๆ ไม่ได้ครับ แม้เนื้อในมันจะมีสิ่งดีๆ ที่น่านำมาปรุงให้ถูกสูตรมากกว่านี้ก็เถอะ ก็ถือเป็นหนังตลกที่ดูเอาขำได้ มีสาระแอบแทรกแนบให้คิดได้ แล้วก็มีเรื่องให้ลุ้นเล็กๆ ในตอนท้ายด้วย ก็ได้แต่คิดน่ะครับว่าถ้าหนังเขย่าเรื่องราวให้พอเหมาะพอดี ตัดเรื่องล้นๆ ออกไป แล้วใส่แต่พองามกว่านี้ หนังคงลงตัวมากขึ้น ดีไม่ดีก็จะเด็ดน้องๆ หนังต้นฉบับเลยล่ะครับ ก็สรุปว่าดูสนุกๆ ขำๆ โดยรวมถือว่าสอบผ่านสำหรับหนังตลกรีเมคเรื่องนี้
franciscoraposo
⭐ 7/10
ขอตัดบทก่อน ฉันรู้ว่าฉันกำลังวิจารณ์ภาพยนตร์เรื่องใด ฉันให้คะแนน Dinner for Schmucks 10 เต็ม 10 และฉันคิดว่าเป็นภาพยนตร์โปรดอันดับ 6 ของฉัน ขอบอกเหตุผลด้วย Dinner for Schmucks ไม่เพียงเป็นภาพยนตร์ตลกที่ชาญฉลาด แสดงได้ดี และตลกขบขันเท่านั้น แต่ยังเป็นภาพยนตร์ตลกที่มีเนื้อหาซาบซึ้งใจ แม้ว่าจะดูโง่ๆ หน่อย แต่ก็เป็นภาพยนตร์โปรดอันดับ 6 ของฉันอย่างแน่นอน เจย์ โรช (The Fockers) ทำได้ยอดเยี่ยมมากในทุกๆ อย่าง สตีฟ แคร์เรล ฉันคงต้องเขียนถึงเขาในย่อหน้าเดียว เพราะเขา… พอล รัดด์เล่นได้ยอดเยี่ยม เขาแสดงได้เป็นผู้ใหญ่และตลก แซ็ก กาลิฟานากิส ฉันจะร่วมเขียนย่อหน้าของสตีฟกับเขาด้วย โซว์ Dinner for Schmucks เป็นภาพยนตร์ที่ยอดเยี่ยม ไม่เหมาะสำหรับทุกคน แต่สำหรับฉัน มันเป็นภาพยนตร์ตลกเบาสมองที่ตลกและไร้สาระที่ฉันดูซ้ำแล้วซ้ำเล่าเป็นพันครั้งและดูเหมือนจะไม่เบื่อ เพลงประกอบของ Theodore Shapiro นั้นยอดเยี่ยมมากและทำให้ภาพยนตร์เรื่องนี้มีบรรยากาศบางอย่างที่ฉันชอบ 100% เพลง “Fool on the Hill” (The Beatles) ที่เปิดขึ้นตอนต้นเรื่องนั้นยอดเยี่ยมมาก
และเมื่อหนังดำเนินไป คุณจะพบกับธีมที่น่าสนใจมากมาย จากนั้นคุณจะได้ยินเพลงที่ยอดเยี่ยมจาก Theodore ในช่วงเครดิต โดยรวมแล้ว ฉันชอบเพลงประกอบมาก เรื่องราว: ทิม (พอล รัดด์) มีงานที่ดีและแฟนสาวที่ยอดเยี่ยม และทั้งคู่ก็มีชีวิตที่ดี ทิมกำลังจะได้งานใหม่และได้รับการเลื่อนตำแหน่ง แต่ก่อนอื่น เขาต้องไปงานเลี้ยงอาหารค่ำของเจ้านายที่เขาเป็นเจ้าภาพเดือนละครั้ง งานเลี้ยงนั้นประกอบด้วยพนักงานทุกคนที่พาคนโง่มา และคนที่โง่ที่สุดในงานเลี้ยงจะเป็นผู้ชนะ ทิมจะไม่ไปแน่นอน แต่หลังจากนั้น เขาก็คิดทบทวนอีกครั้ง เมื่อเขาบังเอิญชนแบร์รี (สตีฟ แคร์เรล) ชายที่ไม่เป็นอันตรายซึ่งทำงานอยู่ที่กรมสรรพากร และมีงานอดิเรกคือการสร้างฉากและถ่ายรูปด้วยหนูตาย ความคิดเห็นของฉัน: เนื้อเรื่องนั้นน่าทึ่งมาก เต็มไปด้วยเรื่องตลกและเรื่องสนุกๆ ฉันชอบมันมาก สตีฟ แคร์เรลแสดงได้ยอดเยี่ยมมาก ทั้งแว่นตา ฟัน และผมสีบลอนด์ของเขา เขาสุดยอดมาก และเขาขโมยออกซิเจนของฉันไปนิดหน่อย ถ้าคุณเข้าใจที่ฉันพูดนะ สตีฟแสดงได้ตลกมาก และไม่มีใครเล่นบทของเขาได้ดีไปกว่าเขาอีกแล้ว เขาเป็นคนตลกและโง่ แต่เขาเล่นเป็นผู้ชายน่ารักที่เราทุกคนอยากเจอ เขาเป็นคนที่ลืมไม่ลง แซ็ค กาลิฟานาคิสเป็นอัจฉริยะอย่างแท้จริง สีส้มของเขา… (ฉันคิดว่ามันคุ้มค่าที่จะเห็นโดยไม่รู้ตัว) และเสียงหัวเราะที่ตลกขบขันของเขาทำให้การแสดงของเขามีความเป็นเอกลักษณ์และลืมไม่ลง เคมีระหว่างสตีฟและแซ็คนั้นยอดเยี่ยมมาก และฉากที่พวกเขาต่อสู้กันในจินตนาการนั้นถือเป็นภาพยนตร์คลาสสิกเลยทีเดียว