รีวิวหนัง Emilia Perez (2024) สมศักดิ์ศรี 2 รางวัลคานส์

seosaveพฤศจิกายน 2, 2025

รีวิวหนัง Emilia Perez (2024)

💥 รีวิวเจาะลึก: Emilia Perez (2024) – เมื่อเจ้าพ่อค้ายาเปลี่ยนเพลงและเปลี่ยนเพศ

Emilia Perez ของผู้กำกับชาวฝรั่งเศส Jacques Audiard เป็นภาพยนตร์ที่ กล้าหาญ, สับสนอลหม่าน, และ เต็มไปด้วยความทะเยอทะยาน อย่างที่สุด นี่ไม่ใช่หนังที่คุณจะสามารถจัดให้อยู่ในประเภทใดประเภทหนึ่งได้ง่าย ๆ มันคือการผสมผสานที่ไม่น่าจะเป็นไปได้ระหว่าง อาชญากรรมเขย่าขวัญ (Crime Thriller), ละครเพลงโอเปร่า (Opera Musical), และ ประเด็นเรื่องอัตลักษณ์ทางเพศ (Transgender Identity) โดยมีฉากหลังเป็นความรุนแรงของแก๊งค้ายาในเม็กซิโกนี่คือการวิเคราะห์การทดลองทางศิลปะที่บ้าบิ่นนี้ ทั้งในด้านเนื้อหา, ภาพ, และการแสดงที่ได้รับรางวัลจากเทศกาลเมืองคานส์

I. เนื้อเรื่อง: จากความป่าเถื่อนสู่การแสวงหาการไถ่บาป

แกนหลักของ Emilia Perez คือการเดินทางที่แทบจะ เกินจริง ของ มานิตัส เดล มอนเต้ (Manitas Del Monte) เจ้าพ่อค้ายาที่น่าหวาดกลัว ซึ่งตัดสินใจที่จะ หายตัวไปตลอดกาล และ ผ่าตัดแปลงเพศ เพื่อที่จะได้ใช้ชีวิตในฐานะผู้หญิงที่เขาใฝ่ฝันมาตลอด—ในชื่อ เอมิเลีย เปเรซ (Emilia Perez)

1. การเปลี่ยนแปลงที่บ้าบิ่นและขัดแย้ง (The Radical Transformation)

  • อัตลักษณ์ที่ซ้อนทับความโหดร้าย: โครงเรื่องให้ความสำคัญกับ ริต้า (Rita) ทนายความสาวผู้ประสบความสำเร็จในการว่าความให้กับมานิตัส แต่กลับต้องเผชิญกับ ความว่างเปล่าทางจริยธรรม ในอาชีพของเธอ มานิตัสยื่นข้อเสนอที่เปลี่ยนชีวิตให้ริต้า เพื่อเป็นผู้จัดการการหายตัวไปและการเปลี่ยนผ่านของเขา
  • เมื่อผีสางตัวเก่าไล่ตาม: จุดที่น่าสนใจที่สุดคือการสำรวจว่า คนร้าย อย่างมานิตัสจะสามารถหา การไถ่บาป ในร่างใหม่ได้หรือไม่ เอมิเลีย เปเรซคนใหม่พยายามที่จะลบภาพของเจ้าพ่อค้ายาคนเก่า ด้วยการตั้งองค์กรการกุศลเพื่อช่วยเหลือครอบครัวที่สามีหรือญาติถูกแก๊งค้ายา ทำให้หายสาบสูญ (Disappeared) การกระทำนี้สร้าง ความตึงเครียดทางศีลธรรม อย่างรุนแรง: เธอพยายามเยียวยาบาดแผลที่มานิตัสเคยก่อไว้ด้วยมือของเอมิเลีย แต่ ความป่าเถื่อน และ ความต้องการควบคุม ของมานิตัสก็ยังคงแฝงอยู่ในตัวเอมิเลีย ซึ่งมักจะแสดงออกมาในฉากดราม่าครอบครัว

Emilia Perez (2024)

2. องค์ประกอบละครเพลง: ทางลัดสู่การระงับความเชื่อ (Suspension of Disbelief)

การตัดสินใจให้เรื่องราวนี้เป็น ละครเพลง นั้นคือการเดิมพันที่บ้าบิ่นที่สุดของ Audiard เพราะเนื้อหาที่มืดมิดและหนักอึ้งเกี่ยวกับการค้ายา, การหายตัวไป, และการผ่าตัดแปลงเพศ หากทำเป็นภาพยนตร์แนวอาชญากรรมตรง ๆ อาจจะดู เกินจริงจนตลก (Over-the-Top) เกินไป

  • การใช้เพลงเป็นเครื่องมือทางอารมณ์: เพลงใน Emilia Perez ไม่ได้เป็นเพียงการคั่นฉากแบบละครบรอดเวย์ แต่เป็น การแสดงออกทางอารมณ์ที่รุนแรง ที่ไม่สามารถถ่ายทอดผ่านบทพูดธรรมดาได้ ริต้าร้องเพลงเพื่อระบาย ความโกรธ และ ความสิ้นหวัง ต่อสภาพสังคมและอาชีพของเธอ มานิตัส/เอมิเลียร้องเพลงเพื่อแสดงถึง ความปรารถนา ในการเป็นผู้หญิง และ ความสำนึกผิด ที่แฝงเร้นอยู่ องค์ประกอบทางดนตรีทำหน้าที่ ลัดวงจร ความต้านทานของผู้ชม ทำให้เรายอมรับการเปลี่ยนแปลงที่รุนแรงของพล็อตได้ง่ายขึ้น
  • ปัญหาด้านจังหวะ: อย่างไรก็ตาม เมื่อหนังเข้าสู่ช่วงที่เอมิเลียได้ใช้ชีวิตใหม่แล้ว จังหวะของเรื่องก็เริ่ม เนิบนาบลง เพลงบางเพลงถูกวิจารณ์ว่า ไม่จำเป็น หรือ ขาดความน่าจดจำ ทำให้ความยาวของหนัง (132 นาที) รู้สึก ยืดยาว ในช่วงกลาง

II. งานภาพ: ความเป็นโอเปร่าในโลกใต้ดิน

งานภาพของ Paul Guilhaume ช่างภาพของเรื่องนี้ มีความตั้งใจที่จะสร้าง ความขัดแย้งทางสุนทรียศาสตร์ (Aesthetic Friction) ระหว่างความมืดมิดของโลกอาชญากรรม กับความเป็นแฟนตาซีของละครเพลง

1. โลกที่สกปรกและเงางาม:

  • กล้องที่ไม่มั่นคงและเงาที่หนักอึ้ง: ในช่วงแรกของเรื่อง ภาพในเม็กซิโกซิตี้มีความรู้สึกเหมือนกับภาพยนตร์ ไฮ-อ็อกเทนทริลเลอร์ (High-Octane Thriller) อย่าง Traffic หรือ Sicario กล้องสั่นไหวเล็กน้อย, แสงเงาหนักอึ้ง, และใช้ สีที่คอนทราสต์สูง (High-Contrast Shadows) เพื่อเน้นย้ำถึง ความน่าสะอิดสะเอียน และ ความอันตราย ของสภาพแวดล้อมที่เต็มไปด้วยแก๊งค้ายา
  • การเปลี่ยนผ่านไปสู่ความแวววาว: เมื่อมานิตัสเปลี่ยนเป็นเอมิเลีย ภาพก็เริ่มเปลี่ยนไปสู่ ความสง่างาม และ ความแวววาวแบบละครน้ำเน่า (Glitzy Soap Opera) ฉากหลังกลายเป็นบ้านหรูที่สะอาดสะอ้าน เสื้อผ้าที่สง่างาม และการแต่งหน้าทำผมที่สมบูรณ์แบบ แต่แม้จะสวยงามเพียงใด ร่องรอย ของความมืดมิดก็ยังคงฉายอยู่ผ่านแววตาและวิธีการใช้อำนาจของเอมิเลีย

2. การใช้พื้นที่ในฉากเพลง:

Audiard ใช้พื้นที่ในการจัดวางฉากเพลงได้อย่างน่าสนใจ ตัวอย่างเช่น ฉากที่ริต้าเดินออกจากศาล และถูกล้อมรอบด้วย นักร้องประสานเสียงที่เป็นแม่บ้านทำความสะอาด พร้อมไม้ถูพื้นอย่างพร้อมเพรียง ฉากเหล่านี้ไม่สมจริง แต่เป็น ช็อตคัตที่สำคัญ เพื่อให้ผู้ชมเข้าใจถึงอารมณ์ที่ล้นปรี่ของตัวละคร และยอมรับความเป็น ความบ้าบิ่นแบบโอเปร่า ที่หนังพยายามนำเสนอ

III. การแสดงของนักแสดง: คณะนักแสดงหญิงที่โดดเด่น

Emilia Perez ได้รับรางวัล นักแสดงหญิงยอดเยี่ยม (Best Actress) จากเทศกาลเมืองคานส์สำหรับ คณะนักแสดงหญิง ทั้งหมด ซึ่งเป็นเครื่องพิสูจน์ถึงความแข็งแกร่งและพลังของการแสดงในเรื่องนี้

1. Karla Sofía Gascón (มานิตัส/เอมิเลีย เปเรซ): ศูนย์กลางที่กล้าหาญ

Karla Sofía Gascón นักแสดงหญิงข้ามเพศชาวสเปน คือ หัวใจ ของภาพยนตร์ เธอแสดงบทบาทซ้อนสองร่างได้อย่างยอดเยี่ยม:

  • มานิตัส (ก่อนการเปลี่ยนผ่าน): เธอแสดงออกถึง ความเครียด และ ความไม่สบายใจ ในการสวมบทบาทความเป็นชายที่สังคมคาดหวัง ในขณะที่ต้องปกครองอาณาจักรยาด้วยความโหดเหี้ยม แววตาที่เต็มไปด้วยความทรมานทางจิตใจภายใต้เปลือกนอกที่แข็งกร้าวถ่ายทอดออกมาได้อย่างน่าทึ่ง
  • เอมิเลีย เปเรซ (หลังการเปลี่ยนผ่าน): Gascón แสดงออกถึง ความสง่างาม แบบราชินี (Queenly Flair), ความอ่อนโยน ที่แสนจะเปราะบาง, และ ความเด็ดขาด ที่ยังคงหลงเหลืออยู่จากชีวิตเก่า การแสดงของเธอมีความ กล้าหาญ และ ละเอียดอ่อน ในการถ่ายทอดความขัดแย้งของตัวละครที่ได้กลายเป็นตัวของตัวเองแล้ว แต่ยังคงต้องรับมือกับเงาของอดีตที่ฆาตกร

2. Zoe Saldaña (ริต้า): พลังงานที่ขับเคลื่อนเรื่องราว

Zoe Saldaña ในบท ริต้า เป็นตัวละครที่เราได้เห็นการเปลี่ยนแปลงตั้งแต่ทนายความที่ เหนื่อยหน่าย และ ถูกมองข้าม ไปจนถึงผู้หญิงที่ประสบความสำเร็จอย่างสูง Saldaña ฉายแสงในฉากเพลงของเธอ โดยเฉพาะฉากที่แสดง ความโกรธ และ ความคับข้องใจ การแสดงของเธอมีพลังงานสูง เป็นเหมือน เชื้อเพลิง ที่ขับเคลื่อนเรื่องราวทั้งหมด และเธอยังพิสูจน์ให้เห็นว่าเธอสามารถร้องและเต้นได้ดีเยี่ยม

3. Selena Gomez (เจสซี่): จากภรรยาที่เป็นเหมือนรางวัลสู่ความจริงจัง

Selena Gomez ในบท เจสซี่ ภรรยาของมานิตัส เธอเริ่มต้นในฐานะ Trophy Wife (ภรรยาที่เป็นเครื่องประดับ) ที่ดูผิวเผิน แต่การแสดงของเธอก็ค่อย ๆ พัฒนาความลึกซึ้งเมื่อเธอต้องเผชิญหน้ากับความจริงของการหายตัวไปของสามีและความเป็นแม่ Gomez แสดงให้เห็นถึงความ เปราะบาง และ ความดื้อรั้น ในเวลาเดียวกัน ซึ่งเป็นการแสดงที่ได้รับคำชมว่า เกินความคาดหมาย

บทสรุป: ความพยายามครั้งใหญ่ที่น่าจดจำ

Emilia Perez คือภาพยนตร์ที่ เกินหน้าเกินตา และ ยากที่จะลืม มันเป็นงานที่ ไม่สมบูรณ์แบบ มีความไม่ต่อเนื่องและจังหวะที่ยืดเยื้อในช่วงกลาง แต่ความกล้าหาญในการ ผสมผสานแนวเรื่องที่บ้าบิ่น ของ Jacques Audiard, งานภาพที่ฉูดฉาด และ คณะนักแสดงหญิงที่โดดเด่น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง Karla Sofía Gascón ทำให้มันกลายเป็น การทดลองทางภาพยนตร์ที่สำคัญ แห่งปี 2024

หนังเรื่องนี้ไม่ได้ให้คำตอบง่าย ๆ แต่กระตุ้นให้เกิดคำถามที่หนักอึ้งเกี่ยวกับ การไถ่บาป, การเป็นตัวของตัวเองอย่างแท้จริง, และ การแบกรับความรับผิดชอบต่ออดีตที่เปื้อนเลือด ถ้าคุณชอบภาพยนตร์ที่ ก้าวข้ามทุกขีดจำกัด และไม่กลัวที่จะทำให้คุณสับสน นี่คือประสบการณ์ที่คุณต้องเปิดรับคุณต้องการให้ฉันเน้นวิเคราะห์ประเด็นที่ว่า การเปลี่ยนผ่านทางเพศ ในฐานะ วิธีการหนีจากความผิด ในหนังเรื่องนี้ สะท้อนความขัดแย้งทางศีลธรรมอย่างไรบ้างไหมครับ? movie24hd